ร่างกายคนเรานั้นพยายามสื่อสารกับเราตลอดเวลา เริ่มตั้งแต่เรื่องพื้นฐานอย่างความหิว กระหายน้ำ ความเครียด ไปจนถึงโรคร้ายที่ก่อตัวขึ้นอยู่ภายใน แต่คนส่วนใหญ่มักมองข้ามหรือละเลยสัญญาณเตือนเหล่านี้ จากเรื่องเล็กๆ จึงลุกลามกลายเป็นปัญหาใหญ่โต จึงเป็นการดีถ้าเราจะลองหมั่นเช็กดูสักนิดว่าสิ่งผิดปกติที่เกิดขึ้นเป็นแค่เรื่องธรรมดา
หรืออาการบอกโรคที่ควรพบแพทย์และหันมาใส่ใจกับสุขภาพโดยด่วน

1. เลือดออกที่เหงือก
หากใช้ไหมขัดฟันแล้วมีเลือดสีแดงๆ ติดออกมาด้วย อย่านิ่งนอนใจว่าเป็นเรื่องเล็ก บางทีเรื่องเล็กๆ เหล่านี้อาจกลายเป็นโรคเรื้อรังได้ เพราะมีรายงานพบว่าเหงือกและฟันกับหัวใจเชื่อมโยงกัน เมื่อเหงือกติดเชื้อจนเลือดออก เชื้อโรคเหล่านี้สามารถแทรกซึมเข้าสู่โลหิต ก่อนที่โลหิตจะผ่านเข้าสู่หัวใจ กลายเป็นโรคอันตรายและมีค่าใช้จ่ายสูง นอกจากนี้การติดเชื้อในปากยังเพิ่มความเสี่ยงของการเกิดโรคเบาหวานประเภทที่ 2 ได้อีกด้วย
2. ไอติดต่อกันเป็นเวลานาน
ไข้หมดแล้วแต่ยังไอไม่เลิกนานหลายสัปดาห์ บางทีหลอดลมของคุณอาจกำลังอักเสบ และเป็นอาการของโรคหอบหืด เพราะคนเรามักคิดว่าการเป็นโรคหอบหืดต้องหายใจเป็นเสียงหวีดหรือหายใจได้สั้นๆ ซึ่งนั่นไม่เสมอไป เป็นไปได้ว่าหลอดลมตีบลงชั่วคราว เวลาหายใจเข้าแล้วจึงไอ ลองเปลี่ยนมารักษาเหมือนโรคหอบหืดจนกว่าจะดีขึ้นภายใน 2-3 เดือน
3. ขี้หนาว
หากมีเราคนเดียวในห้องประชุมที่ใส่เสื้อกันหนาวในขณะที่คนอื่นไม่ได้บ่นอะไร นี่อาจไม่ใช่เรื่องปกติ เพราะบ่อยครั้งที่อาการขี้หนาวหรือรู้สึกหนาวเหน็บอยู่คนเดียวเป็นอาการของโรคไทรอยด์ แนะนำให้ทดสอบการทำงานของต่อมไทรอยด์ เพราะอาจเข้าข่ายภาวะขาดไทรอยด์ได้ ส่วนอาการอื่นๆ ที่อาจแสดงร่วมด้วย ได้แก่ หน้าบวม เหนื่อยล้าง่าย ผมร่วง และน้ำหนักตัวขึ้น
4. ดอกเล็บขึ้น
เล็บที่สุขภาพดีควรมีพื้นผิวเรียบ โค้งมน และเงางาม แต่หากจู่ๆ วันหนึ่งเกิดดอกเล็บหรือเส้นขาวบริเวณเล็บขึ้นมา ลองดูว่าเป็นแค่เส้นแนวดิ่งที่อาจเกิดจากการขาดแคลเซียม ซิงก์ เหล็ก ไบโอติน หรือวิตามินเอ แต่หากเป็นเส้นแนวนอนอาจเป็นสัญญาณของโรคโลหิตจาง หรือโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ รวมถึงเบาหวาน โรคไต และไทรอยด์

5. สมองตื้อเบลอ
ทั้งๆ ที่นอนเต็มอิ่มแล้ว ดื่มกาแฟก็แล้ว แต่ทำไมสมองยังตื้อๆ คิดงานไม่ออก บางทีคุณอาจต้องลองหันมาสำรวจอาหารที่กินเข้าไปว่าหนักข้าวหรือแป้งมากไปหรือเปล่า และลองปรึกษาคุณหมอด้านทางเดินอาหาร เพราะนั่นอาจเป็นอาการของโรคเซลิแอคที่เกิดจากการแพ้กลูเตน โดยกลูเตนจะทำให้เกิดภาวะลำไส้อักเสบ ส่งผลให้ไม่สามารถดูดซึมอาหารได้เท่าที่ควร การทำงานของลำไส้ก็ลดประสิทธิภาพลง บางครั้งจึงมีอาการท้องอืดหรือท้องผูกร่วมด้วยนอกเหนือจากสมองอ่อนเพลีย
6. ขมปากขมคอ
หากว่าคุณสบายดี ไม่ได้เจ็บไข้ได้ป่วย แต่กลับรู้สึกถึงรสขมแปลกๆ ในปาก กรณีนี้แนะนำให้พบแพทย์พร้อมนำวิตามินและยาต่างๆ ที่คุณกินเป็นประจำติดตัวไปด้วย เนื่องจากการกินอาหารเสริมที่มากเกินไปส่งผลกับการรับรู้รสชาติ เช่น แคลเซียม เหล็ก หรือซิงก์ ซึ่งรสประหลาดๆ ในปากที่ว่าจะหายไปเมื่อวิตามินถูกขับออกจากร่างกายจนหมด แต่หากคุณกินเป็นประจำทุกวันก็ยิ่งสะสมไปเรื่อยๆ อีกหนึ่งความเป็นไปได้คืออาการของโรคไซนัส หรือเนื้องอกกดทับเส้นประสาทด้านการรับรู้รสชาติและการได้กลิ่น

7. ตาและเนื้อตัวเหลือง
ลำพังแค่ตัวเหลืองยังพออนุมานได้ว่าอาจเกิดจากการที่ร่างกายรับเบตาแคโรทีน วิตามินเอ และวิตามินซีมากเกินไป แต่หากมีอาการตาเหลืองร่วมด้วยคุณควรพบแพทย์โดยด่วน เพราะคนที่ตาขาวๆ กลายเป็นสีเหลืองมักพบในผู้ป่วยที่มีปัญหาเกี่ยวกับตับ ไม่ว่าจะเป็นไขมันพอกตับ ไวรัสตับอักเสบบี หรือดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไปจนตับต้องทำงานหนัก ซึ่งโรคเกี่ยวกับตับสามารถรักษาให้หายได้หากตรวจพบตั้งแต่เนิ่นๆ
8. ตากระตุก
ไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องโชคชะตา เพราะใครๆ ก็ตากระตุกได้ทั้งข้างซ้ายและขวา แต่หากตาของคุณกระตุกบ่อยครั้งภายในหนึ่งวัน บางทีระบบประสาทของคุณไม่ค่อยแฮปปี้เท่าไรนัก นี่อาจเป็นสัญญาณเตือนว่าคุณกำลังขาดแร่ธาตุและสารอาหารบางประเภท เช่น อิเล็กโทรไลต์ น้ำ ฯลฯ และที่สำคัญคือแมกนีเซียม ซึ่งเป็นสารอาหารจำเป็นสำหรับการทำงานของระบบประสาท รวมถึงการลดปริมาณคาเฟอีนและแอลกอฮอล์ลงบ้าง เพราะสองสิ่งนี้เป็นตัวกระตุ้นชั้นดี